ความท้าทายและโอกาส

ธรรมชาติเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและทรัพยากรต่าง ๆ ที่สำคัญ และจำเป็นยิ่งต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นดัชนีหนึ่งที่สามารถชี้วัดให้เห็นถึงสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี รวมทั้งความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศที่มีความเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
ซึ่งในปัจจุบันไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการพัฒนาของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการคงอยู่ของทรัพยากรธรรมชาติ ความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์บางชนิด หรือการสูญเสียแหล่งที่อยู่ของสัตว์ จากวิสัยทัศน์ที่ต้องการส่งมอบความมั่นคงทางพลังงานสะอาดบนแนวทางแห่งความยั่งยืน บริษัทจึงมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมทั้งตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของความหลากหลายทางชีวภาพ

ในเดือนธันวาคม 2565 มีการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 15 (COP 15) ช่วงที่ 2 ประเทศไทยได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกับประชาคมโลกในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยเน้นความสำคัญของความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในรูปแบบพหุภาคีและทวิภาคี เพื่อสนับสนุนกลไกทางการเงิน เทคโนโลยี และการเสริมสร้างสมรรถนะ และจะส่งผลให้ประชาคมโลกมีคุณภาพชีวิตที่ดี ควบคู่กับการมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ภายใน ปี 2593 (ค.ศ. 2050) และจากการประชุมดังกล่าวมีแนวโน้มที่ทางองค์กรสหประชาชาติจะออกข้อบังคับให้องค์กรเอกชนทั่วโลกจัดทำรายงานการเงินที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ (Taskforce on Nature-related Financial Disclosure : TNFD) ข้อกำหนดในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งดัชนีชี้วัดความยั่งยืนต่าง ๆ ในระดับสากล โดยการเคลื่อนไหวในส่วนของภาครัฐในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะการผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดและนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ มีการจัดทำแผนการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่คุ้มครองหรือพื้นที่ที่มีมาตรการดูแลความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจมีผลโดยตรงต่อภาคธุรกิจที่จะต้องปรับตัวให้มีการดำเนินการที่สอดรับกับนโยบายการปกป้องและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพดังกล่าว ดังนั้น การเคลื่อนไหวและตื่นตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบริษัท

ด้วยเหตุนี้บริษัทได้วางกรอบการดำเนินงานการทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพการพัฒนาโครงการดำเนินงานทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อป้องกันและลดผลกระทบให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดเกิดการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศให้เกิดความสมดุลอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งดำเนินการสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 15 (SDG 15) ปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน นอกจากนี้บริษัทได้มีการเตรียมการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ เป้าหมายการพัฒนากรอบการทำงาน ผลกระทบและแนวทางการบริหารความหลากหลายทางชีวภาพตามกรอบการทำงาน Taskforce on Nature-related Financial Disclosure (TNFD) ในปี 2567 เพื่อยกระดับการดำเนินการทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพของบริษัทสู่การดำเนินงานตามมาตรฐานระดับสากล

ความมุ่งมั่น

บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะไม่มีการสูญเสียจากความหลากหลายทางชีวภาพ และระบบนิเวศสุทธิเป็นศูนย์ (Strive toward No Net Loss (NNL) of Biodiversity and Ecosystem Services) ภายใน ปี 2583 เพื่อป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทางบริษัทได้จัดแผนการดำเนินการทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และผนวกประเด็นด้านความหลากหลายทางชีวภาพในกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของบริษัท เพื่อปกป้องและบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพบริษัทได้จัดทำโครงการการตรวจติดตามด้านสิ่งแวดล้อม (The environmental monitoring program) กลยุทธ์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพและแผนการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity strategy and road map) รวมถึงมีการประเมินผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่ยังคงเหลือจากการดำเนินงานของบริษัท และคู่ค้าที่ดำเนินธุรกิจ ร่วมกับบริษัทเพื่อพัฒนาและปรับปรุงแนวทางการจัดการต่อผลกระทบทางด้านความหลากหลายของชีวภาพให้เหมาะสมอย่างยั่งยืน

แนวทางการปฏิบัติงาน
การบริหารจัดการด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

ด้วยวิสัยทัศน์ของบริษัทในการเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนที่มีการดำเนินงานอันมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้สามารถส่งต่อสู่คนรุ่นใหม่ได้อย่างยั่งยืน บริษัทได้กำหนดนโยบายการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วทั้งองค์กร โดยมีแนวคิดหลัก คือ การดำเนินธุรกิจอย่างเคร่งครัดตามกฎหมายและกฎระเบียบด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งเสริมให้เกิดการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาให้ในการดำเนินธุรกิจ สื่อสารและสร้างความตระหนักให้กับพนักงานในทุกระดับชั้นตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน ริเริ่มโครงการเพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ความหลายหลายทางชีวภาพและการให้บริการของระบบนิเวศผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน

เป้าหมาย

แนวทางการจัดการ

กำหนดนโยบายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อเป็นการกำหนดแนวทางและขอบเขตการดำเนินงาน และเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของบริษัทในการให้ความสำคัญ รวมถึงตระหนักถึงบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบต่อการดำเนินงานโดยปกป้องสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ

นโยบายการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ

ดูเนื้อหาเพิ่มเติม

ประยุกต์ใช้แนวทางการบรรเทาผลกระทบอย่างมีลำดับชั้น (Mitigation hierarchy) เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและการประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้าภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การก่อสร้าง ตลอดจนบริหารการจัดการในทุกพื้นที่ปฏิบัติการ

การศึกษารายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งของบริษัทได้มีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องสำหรับโรงไฟฟ้าแต่ประเภท
กำหนดเป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อแสดงความมุ่งมั่นที่จะไม่มีการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (No Net Loss: NNL) และบริการจากระบบนิเวศสุทธิเป็นศูนย์ภายใต้ขอบเขตที่สามารถจัดการได้
กำหนดแผนการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Roadmap) ประกอบด้วยการ กำหนดขอบเขต การคัดกรองเชิงพื้นที่และชนิดพันธุ์ การประเมินความเสี่ยงและผลกระทบที่เกี่ยวข้องจากการดำเนินธุรกิจ จัดทำแผนป้องกันและบรรเทาผลกระทบ รวมถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศและดำเนินการตามแผน โดยมีมาตรการการติดตามผลสำเร็จตามเป้าหมาย และรายงานความก้าวหน้าให้แก่กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอกองค์กร
แต่งตั้งหน่วยงานผู้รับผิดชอบ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ และมีความต่อเนื่องตั้งแต่ระดับบริหารจนถึงระดับปฏิบัติการ
สร้างการมีส่วนร่วม กับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียและต่อยอดแนวทางการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานและพัฒนาโครงการเพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมด้านการให้บริการจากระบบนิเวศ (Biodiversity and Ecosystem Services) มีความสอดคล้องกับบริบทของระบบนิเวศและสังคมท้องถิ่น

การดำเนินงาน

บริษัทได้ตระหนักถึงความสำคัญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และมีความมุ่งมั่นในการปกป้องและบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ โดยผนวกประเด็นด้านความหลากหลายทางชีวภาพอยู่ในกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของบริษัท และกำหนดแผนการดำเนินการประเมินผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่คงเหลือจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าทุกแห่งที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทและโครงการใหม่ รวมถึงคู่ค้าที่ทำธุรกิจร่วมกับบริษัท เพื่อนำไปสู่แนวทางการจัดการที่เหมาะสมในการป้องกันและบรรเทาผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และส่งเสริมให้เกิดการฟื้นฟูและอนุรักษ์ระบบนิเวศให้มีความสมดุลยิ่งขึ้นตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตามความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะไม่มีการสูญเสียบริการจากความหลากหลายทางชีวภาพ และระบบนิเวศสุทธิเป็นศูนย์ (Strive toward No Net Loss (NNL) of Biodiversity and Ecosystem Services) ภายในปี 2583 ทั้งนี้บริษัทได้ประกาศความมุ่งมั่นและนโยบายการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงจัดทำแผนการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Roadmap) เพื่อแสดงถึงเจตจำนงและเป็นแนวทางในการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพที่สอดคล้องกันทั่วทั้งองค์กร

ดังนั้น บริษัทจึงมีการกำหนดเป็นนโยบายอย่างชัดเจน มีแนวทางปฏิบัติ และการดำเนินงาน เพื่อดูแลรักษาความหลากหลายทางชีวภาพทั้งในพื้นที่ปฏิบัติงานและรวมทั้งชุมชนโดยรอบ

การประเมินผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

โรงไฟฟ้าทุกแห่งของบริษัทได้มีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมตามข้อกำหนด กฎหมายของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องสำหรับโรงไฟฟ้าแต่ประเภท อาทิ การจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ และโรงไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น ซึ่งจากการศึกษา พบว่าโรงไฟฟ้ารวมถึงสำนักงานทุกแห่งที่ควบคุมการดำเนินงานโดยบริษัทไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน พื้นที่มรดกโลก และพื้นที่คุ้มครอง โดยสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (The International Union for Conservation of Nature: IUCN) ประเภทที่่ 1-4 แต่อย่างใด นอกจากนี้ ในรายงานการประเมินผลกระทบดังกล่าวข้างต้นได้มีการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่บริษัทพึงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ บริษัทได้จัดให้มีการสำรวจชนิดพันธุ์ปลาก่อนดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี โดยผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท TEAM Consulting ทำให้ทราบถึงชนิดพันธุ์ปลาที่จำแนกตามระดับความเสี่ยงในการสูญพันธุ์และการถูกคุกคามจากมนุษย์หรือภัยธรรมชาติ ของเกณฑ์ The IUCN Red List ซึ่งจากผลการสำรวจ พบว่ามีชนิดพันธุ์ปลาทั้งหมด 120 ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับไม่ถูกคุกคาม (Least Concerned: LC)

โดยบริษัทได้วางแผนการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพในเชิงพื้นที่ และชนิดพันธุ์เพิ่มเติมในระหว่างปี 2566-2567 เพี่อให้ครอบคลุมทุกโรงไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท

รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม

อ่านเพิ่มเติม

แผนการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Roadmap)

ในปี 2565 บริษัทได้พัฒนาแผนการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะที่ 1 ซึ่งมีกรอบระยะเวลา 5 ปี (ปี 2565-2569) ภายใต้กลยุทธ์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะไม่มีการสูญเสียบริการจากความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2583

ศึกษา

ศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพในเชิงพื้นที่ และชนิดพันธุ์ โดยประเมินพื้นที่คุ้มครองหรือพื้นที่อนุรักษ์ และชนิดพันธุ์คุ้มครองโดยสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (The International Union for Conservation of Nature: IUCN) ภายในปี 2567 โดยในปัจจุบันโรงไฟฟ้ารวมถึงสำนักงานทุกแห่งที่ควบคุมการดำเนินงานโดยบริษัทไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน พื้นที่มรดกโลก และพื้นที่คุ้มครองโดย IUCN ประเภทที่่ 1-4 แต่อย่างใด

ตรวจสอบ

ตรวจสอบติดตามสถานการณ์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศบนบกและระบบนิเวศทางน้ำซึ่งเป็นไปตาม Environmental and Social Management and Monitoring Plan during Operation Phase (ESMMP-OP) ภายใต้มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการประเมินความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมกิจกรรมการการก่อสร้างและดำเนินงานของโรงไฟฟ้า โดยมีการจัดการในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ดำเนินการ โดยมีจุดมุ่งหมายในการคงความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์น้ำให้มีความใกล้เคียงกับสภาพเดิมมากที่สุดโดยเฉพาะคุณภาพตะกอน คุณภาพน้ำ ชนิดพันธุ์ปลา และไข่ปลา ทุกโรงไฟฟ้าได้ตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนด

โรงไฟฟ้าไซยะบุรีมีการติดตามปัจจัยทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมของแม่น้ำโขง เช่น ปริมาณตะกอน คุณภาพน้ำ ชนิดพันธุ์ปลา และไข่ปลาที่พบเจอในบริเวณพื้นที่ติดตามตรวจสอบ โดยพื้นที่ดำเนินการครอบคลุมแม่น้ำโขงบริเวณเหนือน้ำ และท้ายน้ำที่ผ่านโรงไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการรักษาระบบนิเวศของพื้นที่เหนือน้ำ และท้ายน้ำให้คงสภาพตามธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้ระบบนิเวศมีความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง และท้ายน้ำที่ผ่านโรงไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการรักษาระบบนิเวศของพื้นที่เหนือน้ำ และท้ายน้ำให้คงสภาพตามธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้ระบบนิเวศมีความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พื้นที่ป่าอีกด้วย

- การตัดไม้ทำลายป่า: ทุกโรงไฟฟ้าในช่วงดำเนินการผลิตไม่มีกิจกรรมการตัดไม้ทำลายป่า และทุกโรงไฟฟ้าไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่ป่าสงวน และพื้นที่มรดกโลก

- การปนเปื้อน: ทุกโรงไฟฟ้ามีการตรวจสอบระบบการจัดการและควบคุมการปนเปื้อนจากของเสียจากการดำเนินงานสู่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ขยะทุกประเภท, น้ำทิ้ง และการระบายสารมลพิษทางอากาศ) โดยระบบการจัดการควบคุมการปนเปื้อนดังกล่าวและระบบทางปลาผ่านที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สามารถรักษากระบวนการทางธรรมชาติของระบบนิเวศวิทยาทั้งทางบกและน้ำในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องให้คงสภาพไว้ดังเดิม

ประเมิน

ประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่คงเหลือจากการดำเนินการในทุกหน่วยธุรกิจภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท เพื่อวางแผนการชดเชยการให้บริการทางระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ และป้องกันไม่ให้มีการสูญเสียในภาพรวม แม้ว่าบริษัทจะมีพื้นที่บางแห่งที่ดำเนินงานใหญ่อยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในระดับต่ำ

จัดทำ

การจัดทำแผนการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Management Plan) ให้ครอบคลุมพื้นที่ที่มีความสำคัญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Critical Biodiversity Area)

เสริมสร้าง

สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย โดยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาโครงการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์และส่งเสริมอาชีพให้กับชุมชนโดยรอบโรงไฟฟ้า

ทางบริษัทได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา AFRY Thailand Ltd. เพื่อทำการศึกษาและเก็บข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและกิจกรรมของหน่วยงานธุรกิจพลังงานของบริษัท โดยการศึกษาดังกล่าวเป็นไปตามหลักการพื้นฐานของการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบด้วยการกำหนดขอบเขตการศึกษา การศึกษาค้นคว้าข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้องการลงสำรวจในพื้นที่หน้างานของ หน่วยธุรกิจพลังงาน ในปี 2566 ได้มีการเก็บข้อมูลเบื้องต้น 3 โรงไฟฟ้า ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ บางเขนชัย โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์คลองเปรง และโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี

โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ บางเขนชัย ภายใต้ บริษัท บางเขนชัย โซล่าร์ จำกัด

ในปี 2566 ได้เก็บข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่บริเวณโรงไฟฟ้าโดยใช้โดรนเก็บภาพถ่ายทางอากาศและสังเกตสิ่งมีชีวิตในพื้นที่บริเวณโดยรอบ รวมไปถึงการสัมภาษณ์ข้อมูลจากคนในพื้นที่ สรุปผลการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นพบว่า มีสัตว์ จำพวก นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แมลง รวมไปถึงพบร่องรอยการอยู่อาศัยของสัตว์

โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์คลองเปรง ภายใต้ บริษัท บางเขนชัย โซล่าร์ จำกัด

ในปี 2566 ได้เก็บข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่บริเวณโรงไฟฟ้าโดยใช้โดรนเก็บภาพถ่ายทางอากาศและสังเกตสิ่งมีชีวิตในพื้นที่บริเวณโดยรอบ รวมไปถึงการสัมภาษณ์ข้อมูลจากคนในพื้นที่ เช่นเดียวกับที่โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บางเขนชัย มุ่งเน้นที่ทางระบายน้ำของโครงการและพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ทำการเกษตรเป็นหลัก สรุปผลการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นพบการอยู่อาศัยและการหากินของนกบางชนิด สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์น้ำตามทางระบายน้ำ

โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี สปป. ลาว

ในปี 2566 มีการสำรวจพื้นที่ที่มีความเหมาะสมเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและสัตว์น้ำบริเวณโดยรอบของโรงไฟฟ้า รวมไปถึงการสำรวจโดยการใช้โดรนเก็บภาพถ่ายทางอากาศในการสำรวจลักษณะของพื้นที่เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนและกำหนดบริเวณในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

ระบบทางปลาผ่านแบบผสม ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี (Hybrid Fish Passing and Fish Locks System in Xayaburi Hydroelectric Power Plant)

บริษัทได้ใช้ระบบทางปลาผ่านแบบผสมหรือ “Hybrid Fish Passing and Fish Lock System” เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพจากการดำเนินการของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ขนาด 1,285 เมกะวัตต์ ซึ่งตั้งอยู่บนแม่น้ำโขงระหว่างแขวงไซยะบุรีและหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ครอบคลุมพื้นที่ดำเนินงาน 564,000 เฮกตาร์โดยบริษัทได้มีการศึกษาความเหมาะสมตามชนิดพันธุ์ปลาตั้งแต่กระบวนการออกแบบก่อสร้าง รวมทั้งการประเมินความเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ของชนิดพันธุ์สัตว์น้ำ ตาม IUCN Red List ก่อนที่บริษัทจะเริ่มนำระบบทางปลาผ่านแบบผสมมาใช้

ระบบทางปลาผ่านแบบผสมของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรีเป็นระบบผสม โดยมีทางปลาผ่าน (Vertical-slot Fishway) เชื่อมต่อกับ ช่องยกปลา (Fish Locks) ที่มีขนาดใหญ่ โดยมีความกว้างของทางปลาผ่าน 18 เมตร และลึกมากที่สุด 16 เมตร ซึ่งระบบการทำงานและระบบการติดตามของทางปลาผ่านแบบผสมได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับขนาดปลา และสอดคล้องกับพฤติกรรมปลาในแม่น้ำโขงโดยเฉพาะ โดยธรรมชาติของปลาจะว่ายทวนกระแสน้ำไปยังบริเวณเหนือน้ำ เมื่อถึงช่วงเวลาขยายพันธุ์และวางไข่ เพื่อเป็นการคงไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์ปลาและรักษาวงจรชีวิตสัตว์น้ำในแม่น้ำโขง ช่วยให้โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ไซยะบุรี สามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างสมดุลอย่างยั่งยืนให้แก่ธรรมชาติในลุ่มแม่น้ำโขงได้

วิดีโอการเดินทางของปลา

ส่วนในกระบวนการติดตามประสิทธิภาพของระบบทางปลาผ่านแบบผสม บริษัทได้ประยุกต์นวัตกรรม Passive Integrated Transponder: PIT Tag System โดยการฝังไมโครชิพในตัวปลาเพื่อศึกษาพฤติกรรมของปลา และการใช้กล้องตรวจวัดด้วยคลื่นเสียงใต้น้ำ (Hydroacoustic Cameras, ARIS) เพื่อติดตามพฤติกรรมการอพยพและความเคลื่อนไหวของปลาบริเวณโรงไฟฟ้า ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งตั้งแต่โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรีเริ่มดำเนินการในปี 2562 จนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2566 พบว่ามีปลาที่สามารถผ่านขึ้นบันไดปลาของโรงไฟฟ้าได้มากกว่า 125 สายพันธุ์ โดยการจัดการทางปลาผ่านมีความสมดุลระหว่างการผลิตไฟฟ้าตามเป้าหมายในขณะเดียวกันไม่มีผลกระทบต่อการอพยพของปลา

จำนวนสายพันธุ์ปลาที่ถูกบรรจุในบัญชีแดงไอยูซีเอ็น (IUCN Red List) และบัญชีอนุรักษ์ระดับชาติทั้งหมด ในพื้นที่โรงไฟฟ้าไซยะ ปี 2566
จำนวนชนิดใกล้สูญพันธ์อย่างยิ่ง 0
จำนวนชนิดพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ 1
จำนวนชนิดพันธุ์มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ 10
จำนวนชนิดพันธุ์มีแนวโน้มใกล้ถูกคุกคาม 5
จำนวนชนิดพันธุ์เป็นกังวลน้อยที่สุด 96
จำนวนชนิดพันธุ์ที่ข้อมูลไม่เพียงพอ 7

ในการศึกษาความเหมาะสม การประยุกต์ใช้ระบบทางปลาผ่านแบบผสม ตลอดจนการติดตามประสิทธิภาพของระบบ บริษัทมีพันธมิตรที่ผสานความร่วมมือ ได้แก่

  • ศูนย์วิจัยการเกษตรนานาชาติออสเตรเลีย (Australian Center for International Agricultural Research: ACIAR))
  • Charles Sturt University ประเทศออสเตรเลีย
  • ศูนย์ค้นคว้าการประมง สถาบันค้นคว้ากสิกรรมและป่าไม้แห่งชาติ สปป.ลาว (Living Aquatic Resources Research of Lao: LARReC)
  • มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว (National University of Lao: NUOL)

บริษัทได้ส่งต่อองค์ความรู้ สร้างความเข้าใจ และส่งเสริมความร่วมมือกับชุมชนรอบโรงไฟฟ้า เพื่อรักษาวงจรชีวิตของปลาในแม่น้ำโขง โดยเฉพาะการอพยพของปลา รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพ ลักษณะทางกายภาพและชนิดพันธุ์ของปลาที่แตกต่างกันในแม่น้ำโขง โดยบริษัทได้ ถ่ายทอดองค์ความรู้ของระบบการติดตามปลาโดยการใช้ ไมโครชิพ (Passive Integrated Transponder: PIT Tag System) ร่วมกับชุมชนรอบโรงไฟฟ้า เพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้าใจในระบบการติดตามพฤติกรรมการอพยพของปลาในแม่น้ำโขง

ระบบการติดตามปลาโดยการใช้ไมโครชิพ (Passive Integrated Transponder: PIT Tag System)

บริษัท ได้สนับสนุนงานวิจัยเชิงบุกเบิกซึ่งจัดทำโดยทีมความหลากหลายทางชีวภาพของบริษัทและโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ซึ่งดำเนินงานร่วมกับคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัย Charles Sturt ประเทศออสเตรเลีย การศึกษานี้ได้รับการสนับสนุนด้านเทคนิคจาก ศูนย์วิจัยการเกษตรระหว่างประเทศแห่งออสเตรเลีย (ACIAR; FIS-2017-017) และทุนสนับสนุนจากคุณธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP) กิจกรรมทั้งหมดในโครงการนี้รวมถึงการจัดหาและการทดลองกับปลาได้รับการคุ้มครองภายใต้หน่วยงานการดูแลสัตว์และจริยธรรมของมหาวิทยาลัย Charles Sturt A19040

เป้าหมายหลักของโครงการวิจัยนี้คือการประเมินความเป็นไปได้ของการติด PIT แท็กในปลาแม่น้ำโขง 4 ชนิดที่จับได้จากธรรมชาติ ได้แก่ ปลาปาก (Hypsibarbus lagleri), ปลากดเหลือง (Hemibagrus filamentus), ปลากระแห (Barbonymus schwanenfeldii) และ ปลาปากเปี่ยน (Scaphognathops bandanensis) โดยเราได้ทำการทดลองติดPITแท็กปลาและปล่อยลงในบ่อพักฟื้นของศูนย์วิจัยปลาโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ผลการทดลองเหล่านี้จะช่วยให้เราทราบว่าปลาแม่น้ำโขง 4 ชนิดนี้สามารถติด PIT แท็กได้อย่างปลอดภัย และ PITแท็กจะไม่ส่งผลกระทบต่อการอยู่รอดของปลา หากผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจ ก็จะสามารถนำเทคโนโลยี PIT แท็ก มาใช้ประเมินประสิทธิภาพของระบบทางปลาผ่านและระบบนิเวศวิทยาของปลาในแม่น้ำโขงต่อไปได้

วิธีการดำเนินงาน วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาครั้งนี้คือการทดลองหาผลกระทบของการติดPITแท็กต่อพันธุ์ปลาในแม่น้ำโขง โดยมุ่งเน้นไปที่การพิจารณาความเหมาะสมของพันธุ์ปลาแม่น้ำโขงสำหรับการติดPITแท็ก และประเมินผลกระทบที่ตามมาของการใช้เทคนิคการติดแท็กนี้ต่อประชากรปลาพื้นเมืองแม่น้ำโขง

ปลาทั้ง 4 ชนิด - Hypsibarbus lagleri, Hemibagrus filamentus, Barbonymus schwanenfeldii, และ Scaphognathops bandanensis ถูกเลือกเป็นตัวแทนของพันธุ์ปลาแม่น้ำโขง เนื่องจากพฤติกรรมการอพยพ ความสำคัญทางเศรษฐกิจ และความสำคัญทางระบบนิเวศโดยพบว่าปลาทุกชนิดยกเว้น Barbonymus schwanenfeldii จัดอยู่ในประเภทที่อพยพไปวางไข่ในลำน้ำหลัก และมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง (LMB) สิ่งนี้เน้นย้ำถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นและความกังวลด้านการอนุรักษ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเขื่อนและกิจกรรมของมนุษย์อื่นๆ ในแม่น้ำโขง

งานวิจัยนี้มุ่งเน้นไปที่ผลกระทบของการติดแท็กต่อปลาแม่น้ำโขง โดยเฉพาะการใช้ PIT แท็ก (Passive Integrated Transponder) โดยการทดลองนี้จะเน้นไปที่ปลาที่พบใกล้บริเวณโรงไฟฟ้าไซยะบุรีเป็นหลัก ซึ่งการจับตัวอย่างปลาขึ้นมาทำการทดลองจะใช้วิธีการดักปลาในสถานดักปลาที่สร้างขึ้นมาเฉพาะของทางโครงการ

ปลาที่ถูกจับมาจะถูกนำมาพักฟื้นโดยการให้อากาศในบ่อพักฟื้นจากนั้นจึงเริ่มทำการฝังPITแท็กในตัวปลา เพื่อประเมินผลกระทบของการติดแท็กต่ออัตราการตายของปลา ระยะเวลาการคงอยู่ของแท็กในตัวปลา และสภาพของตัวปลา (น้ำหนักและความยาว) โดยมีการเฝ้าติดตามค่าพารามิเตอร์ต่างๆของน้ำในบ่อพักฟื้นอย่างต่อเนื่อง เช่น อุณหภูมิ ออกซิเจนที่ละลายในน้ำ ความขุ่น และค่า pH ซึ่งปลาที่ใช้ทดลองจะถูกเลี้ยงไว้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุม และมีระบบน้ำไหลผ่านจากแม่น้ำโขงตลอดเวลา

โดยปลาที่ใช้ทดลองและตัวเปรียบเทียบ จะถูกเลี้ยงไว้ร่วมกันเป็นเวลาประมาณ 43-59 วัน โดยมีการเฝ้าติดตามอัตราการตายและระยะเวลาของแท็กที่หลุดออกมาจากตัวปลาในทุกๆวัน กรณีที่มีปลาตาย ปลาที่ตายจะถูกนำออกมาวัดขนาดและน้ำหนัก จดบันทึกเลขแท็ก และนำแท็กออกจากตัวปลาเพื่อใช้เป็นข้อมูลถึงสภาพของปลาหลังจากถูกฝังแท็กเนื่องจากการทดลองนี้ต้องการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพและผลกระทบของการติดแท็กต่อปลาแม่น้ำโขงโดยพิจารณาจากปัจจัย อัตราการตาย ระยะเวลาการคงอยู่ของแท็กในตัวปลาและสภาพร่างกายของปลาหลังจากที่มีการติดแท็ก

การวิเคราะห์อัตราการตายและการหลุดของแท็กดำเนินการโดยใช้ IBM SPSS Statistics 29.0.0.0 และการวิเคราะห์สภาพร่างกายดำเนินการโดยใช้ SAS Institute. (2015) SAS/STAT® 14.1 User’s Guide. Cary, NC: SAS Institute Inc.

การศึกษาครั้งนี้ได้ผลลัพธ์ที่สำคัญ ชี้ให้เห็นว่า ชนิดปลาที่เลือกมานั้นเหมาะสมสำหรับการติดPITแท็ก โดยสิ่งสำคัญคืองานวิจัยนี้เผยให้เห็นว่า การติดPITแท็กไม่มีผลกระทบที่สำคัญต่ออัตราการตายของปลา และสภาพของปลาไม่ได้แย่ลงจากการติดแท็ก อัตราการหลุดของแท็กโดยเฉลี่ยนั้นต่ำมากประมาณร้อยละ 4.5 ในทั้ง 4 ชนิด

โดยสรุป งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นผลกระทบของการติด PIT แท็กต่อปลาแม่น้ำโขง ที่พบว่า อัตราการตายจากการติดแท็กที่ต่ำอัตราการคงอยู่ของแท็กในปลาแต่ละชนิดที่สูง และการเปลี่ยนแปลงของสภาพน้ำหนักและความยาวของปลาที่น้อย ผลลัพธ์เหล่านี้ร่วมกัน เน้นย้ำถึงความน่าเชื่อถือและความเหมาะสมของระบบ PIT ในฐานะเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการติดตามประชากรปลาในแม่น้ำโขง

ประโยชน์ต่อความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

ผลลัพธ์ของการวิจัยครั้งนี้มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศทางน้ำและการจัดการประชากรปลาอย่างยั่งยืนในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง การศึกษาพบว่า สายพันธุ์ปลาในแม่น้ำโขงทั้งสี่ชนิดมีความเหมาะสมสำหรับการติดPITแท็ก ทำให้ระบบ PIT แท็ก เป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการติดตามพฤติกรรมการอพยพของปลาในแม่น้ำโขง ดังแสดงให้เห็นประสิทธิภาพของวิธีการติดตามนี้ การศึกษานี้สนับสนุนการพัฒนาแนวทางการจัดการประมงอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับพันธกิจของบริษัท ในการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการจัดการทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบ

ผลลัพธ์ที่จับต้องได้สะท้อนแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

การค้นพบชนิดปลาที่เหมาะสมสำหรับการติดPITแท็ก และการนำใช้ระบบ PIT แท็กในลุ่มแม่น้ำโขง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัท ต่อแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี การวิจัยนี้สนับสนุนพันธกิจของโรงไฟฟ้าในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืน โดยมีส่วนร่วมในการพัฒนาทางปลาผ่านที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการสนับสนุนการอนุรักษ์และการจัดการประชากรปลาอย่างยั่งยืนในภูมิภาค การศึกษานี้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้าพลังน้ำและมีส่วนร่วมในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรับผิดชอบ

บทสรุป

งานวิจัยที่ดำเนินการโดยทีมความหลากหลายทางชีวภาพของบริษัทและโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ร่วมกับคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัย Charles Sturt ประเทศออสเตรเลีย ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการจัดการประมงอย่างยั่งยืนในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ผลการศึกษาครั้งนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับการใช้ระบบ PIT แท็ก สำหรับติดตามประชากรปลาในแม่น้ำเขตร้อน ส่งผลต่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศทางน้ำและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรับผิดชอบ

บริษัทมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สนับสนุนโครงการต่างๆ ที่ส่งเสริมการอนุรักษ์และการจัดการประชากรปลาอย่างยั่งยืนในระบบแม่น้ำเขตร้อน งานวิจัยครั้งนี้เน้นย้ำถึงความทุ่มเทในการเป็นผู้ดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง และความพยายามอย่างต่อเนื่องในการมีส่วนร่วมในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม