ความท้าทายและโอกาส

ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มว่าจะมีความรุนแรงสูงขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในเชิงความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risk) และความเสี่ยงเปลี่ยนผ่าน (Transition Risk) หรือความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในแง่นโยบาย กฎเกณฑ์ รวมถึงเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค
ทำให้การดำเนินธุรกิจจะต้องปรับตัวให้ทันต่อความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างทันท่วงที อีกทั้งหน่วยงานในระดับสากลและระดับภูมิภาค อาทิ World Bank และ Asian Development Bank (ADB) ต่างเห็นความสำคัญของภาคพลังงานในการลดผลกระทบที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลักดันให้ประชาคมโลกบรรลุตามเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

โดยการส่งเสริมแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนผ่านการออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ซึ่งทำให้ต้นทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของกิจการ หรือ Weighted Average Cost of Capital (WACC) ของผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนลดลงมาอยู่ระดับต่ำกว่าหรือใกล้เคียงกับผู้ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ขณะเดียวกันภาครัฐของไทยได้กำหนดมาตรการในการพิจารณาปรับปรุงกฎหมาย และนโยบายเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม (Just Energy Transition: JET) ทำให้เกิดแรงจูงใจต่อนักลงทุนในการให้ความสำคัญกับการลงทุนในธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นการลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายรวมถึงกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เข้มข้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลาดทุนให้การตอบรับที่ดี สะท้อนจากการเติบโตของราคาหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีแผนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ กลไกทางการเงินเพื่อสิ่งแวดล้อมรูปแบบใหม่ อาทิ ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) และ คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ยังเป็นอีกเครื่องมือที่ส่งเสริมให้ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสามารถสร้างรายได้เพิ่มจากการขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียนจากปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน หรือ ขายคาร์บอนเครดิตจากการขอรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงได้จากการดำเนินโครงการที่ผ่านการรับรองโดยหน่วยงานกลาง หรือ หน่วยงานเจ้าของกลไก (Scheme owner) ดังนั้น กลไกที่เกิดขึ้นต่าง ๆ ข้างต้น ล้วนเป็นโอกาสที่ดีของบริษัท ที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นแนวทางหลักในการดำเนินธุรกิจของบริษัท

ดังนั้น กลไกที่เกิดขึ้นต่าง ๆ ข้างต้น โดยเฉพาะการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Greenhouse Gas Emissions) ของทุกภาคส่วนถือเป็นอีกหนึ่งความท้าท้ายและเป็นโอกาสที่ดีของบริษัท ที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นแนวทางหลักในการดำเนินธุรกิจของบริษัท

แนวทางการดำเนินงาน

บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของประชาคมโลกที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไม่ให้เพิ่มสูงกว่า 1.5 องศาเซลเซียส รวมถึงเป้าหมายของประเทศตามแผนการมีส่วนร่วมของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Nationally Determined Contribution: NDC) ดังนั้น เพื่อการสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว บริษัทจึงจัดทำกลยุทธ์การบริหารจัดการพลังงานและกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ครอบคลุมการทำงานทั่วทั้งองค์กร สอดคล้องตามมาตรฐานสากล และแนวปฏิบัติการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (Task Force on Climate-Related Financial Disclosures: TCFD) เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero GHG Emissions by 2050) ตามหลักวิทยาศาสตร์ หรือ Science Based Target ซึ่งเป็นแนวทางสากลสำหรับภาคเอกชน โดยได้กำหนดเส้นทางแห่งความสำเร็จในการมุ่งสู่เป้าหมาย ดังนี้

การกำกับดูแลด้านจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บริษัทได้จัดทำนโยบายอนุรักษ์พลังงาน นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกำหนดเป้าหมายด้านการลดการใช้พลังงานขององค์กรที่ครอบคลุมทั้งอาคารสำนักงานและกระบวนการผลิต นอกจากนี้ บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างความตระหนักด้านการอนุรักษ์พลังงานให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ภายในบริษัทซึ่งเป็นการผลักดันให้พนักงานคิดค้นนวัตกรรมด้านการลดการใช้พลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมกับการเพิ่มสัดส่วนในการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน อีกทั้ง เพิ่มพื้นที่ป่าและพื้นที่สีเขียวเพื่อดูดซับก๊าซเรือนกระจก ซึ่งกำกับดูแลด้านจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยคณะกรรมการบรรษัทภิบาล บริหารความเสี่ยง และการพัฒนาอย่างยั่งยืน และขับเคลื่อนผ่านคณะกรรมการขับเคลื่อนความยั่งยืน (Sustainable Development Steering Committee) ที่กำหนดทิศทางและเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ตามนโยบายและกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องตามมาตรฐาน และแนวโน้มต่าง ๆ ในระดับสากล มีการดำเนินงานและติดตามร่วมกับคณะทำงานจากทุกโรงไฟฟ้า โดยบริษัทได้กำหนดบทบาท หน้าที่ และตัวชี้วัดผลตอบแทนให้ผู้บริหารของแต่ละพื้นที่ปฏิบัติการโรงไฟฟ้าเป็นผู้รับผิดชอบในการกำกับดูแลด้านความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านการติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท และผสานงานร่วมกับคณะทำงานสนับสนุนการเปิดเผยด้านความยั่งยืนขององค์กร (Sustainability Supporting and Disclosure Working Team) ซึ่งภายใต้คณะทำงานสนับสนุนการเปิดเผยด้านความยั่งยืน ประกอบด้วยผู้นำความมุ่งมั่นทั้ง 5 ด้าน ได้แก่

  • ผู้นำความมุ่งมั่นด้านการจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ผู้นำความมุ่งมั่นด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
  • ผู้นำความมุ่งมั่นด้านสิทธิมนุษยชน
  • ผู้นำความมุ่งมั่นด้านการดูแลชุมชนและสังคม
  • ผู้นำความมุ่งมั่นด้านความความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ

รวมถึงด้านการจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีรายงานผลต่อกรรมการบริษัททุกไตรมาส รวมทั้ง มีแผนในการขยายขอบเขตการจัดการและการเปิดเผยข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้ครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานและสอดคล้องกับแนวปฏิบัติการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (Task Force on Climate-Related Financial Disclosures: TCFD)

โครงสร้างการกำกับดูแลด้านความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บริษัทมีความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 และมีการเพิ่มสัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ ให้ได้มากกว่าร้อยละ 95 ภายในปี 2586 รวมทั้งการสนับสนุนและผลักดันให้เกิดการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมการลดการใช้พลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า และการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทได้ประยุกต์ใช้เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustainability Development Goals) หรือ SDGs อาทิเช่น เป้าหมายที่ 7 พลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้ และเป้าหมายที่ 13 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มาใช้ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท เพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืน อีกทั้งบริษัทยังได้ตอบสนองต่อผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 28 (COP 28) ในการรักษาระดับไม่ให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกเพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส และดำเนินการอย่างเข้มข้นต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง

นโยบายอนุรักษ์พลังงาน

ดูเนื้อหาเพิ่มเติม

นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ดูเนื้อหาเพิ่มเติม

การบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บริษัทได้จัดทำการประเมินความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกปี โดยบริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการประเมินให้ครอบคลุมการดำเนินธุรกิจทั้งประเทศไทย และ สปป.ลาว จำแนกตามกรอบเวลาระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว โดยหลังจากที่บริษัทได้ระบุและจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยงและโอกาสเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว จึงนำไปรวมในขั้นการบริหารความเสี่ยงขององค์กร และดำเนินการจัดทำแผนบรรเทาผลกระทบขึ้นเพื่อรับมือทั้งความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risk) และความเสี่ยงในการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risk) ขึ้นเพื่อรับมือกับความเสี่ยงเหล่านั้น โดยบริษัทได้แสดงความโปร่งใสในการประเมินความเสี่ยงและการกำหนดแนวทางการจัดการเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามแนวปฏิบัติการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD)

รายงานการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (Task Force on Climate-related Financial Disclosure : TCFD)

ดูเนื้อหาเพิ่มเติม

กลยุทธ์ด้านจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บริษัทได้จัดทำกลยุทธ์ด้านจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านกระบวนการประเมินตามมาตรฐานสากล และแนวปฏิบัติการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (Task Force on Climate-Related Financial Disclosures: TCFD) นำมาซึ่งผลการประเมินความเสี่ยงและโอกาสในการกำกับดูแลวางกลยุทธ์ และจัดทำแผนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อกำหนดเป้าหมายและแนวทางในการรับมือต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Energy management and Climate Change Roadmap) อย่างต่อเนื่อง

โดยบริษัทได้กำหนดแผนกลยุทธ์การดำเนินงานตามกรอบระยะเวลา 5 ปี (2565-2569) โดยมีการขับเคลื่อนเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593

บริษัทได้วางเส้นทางการเปลี่ยนผ่านพลังงานเพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนของกลุ่ม ซีเค พาวเวอร์ ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก “ซี เค พี” ที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม (C – Clean Electricity ไฟฟ้าสะอาด) มิติสังคม (K – Kind Neighbor เพื่อนบ้านที่ดี) และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (P – Partnership for Life พันธมิตรที่ยั่งยืน) เพื่อส่งเสริมให้เราเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง ควบคู่กับการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีในชุมชนและสังคม อีกทั้งสร้างความตระหนักและส่งเสริมความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกองค์กร ที่สำคัญการมุ่งสร้าง DNA ของพนักงานให้เป็นฟันเฟืองสำคัญในการเปลี่ยนผ่าน ภายใต้ C – Clean Electricity ที่มีเป้าหมายร่วมที่สำคัญ คือ กลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืน ที่บริษัทมุ่งเป็นกำลังขับเคลื่อนในการนำแผนการจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปปฏิบัติอย่างจริงจัง เป็นส่วนหนึ่งในการดําเนินงานร่วมกัน "Together for Implementation" ยกระดับการลดก๊าซเรือนกระจก และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตามเจตนารมณ์ของประเทศไทยและประชาคมโลก ที่ปรากฏในความตกลงปารีสตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement) ที่ได้จํากัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสให้ได้ภายใน 2 ศตวรรษนี้ โดยการดําเนินงานของบริษัทนับว่าเป็นส่วนช่วยในการบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรุนแรงในปัจจุบัน

เป้าหมายด้านจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ผลการดำเนินงานด้านจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ตัวชี้วัด ปี 2563 ปี 2564 ปี 2565 เป้าหมาย
ปี 2566
ปี 2566
ปริมาณการใช้พลังงานขององค์กร
(MWh)
2,041,213.70 2,074,139.55 2,112,045.00 2,113,371.85 2,108,270.85
การใช้พลังงานต่อหน่วยการผลิต
(MWh/MWh)
0.23 0.19 0.18 0.20 0.20
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ขององค์กร (tCO2e)
717,296.83 721,309.65 717,775.96 723,673.98 721,781.47
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ขององค์กรในขอบเขตที่ 1 (tCO2e)
713,447.64 716,049.77 715,530.79 721,469.18 719,930.32
ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ขององค์กรในขอบเขตที่ 2 (tCO2e)
3,849.19 5,259.88 2,245.17 2,204.80 1,851.15
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรต่อหน่วยการผลิต (tCO2e/MWh) 0.0810 0.0670 0.0613 0.0695 0.0693

ในปี 2566 บริษัทมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งสิ้น 721,781.47 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 ที่ 719,930.32 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 2 ที่ 1,851.15 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ดีกว่าเป้าหมาย1,892.51 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งได้ประเมินอ้างอิงตาม The Greenhouse Gas Protocol และตามข้อกำหนดในการคำนวณและรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) อีกทั้ง มีการทวนสอบโดยหน่วยงานอิสระภายนอกโดย บริษัท สำนักงาน อีวาย จำกัด สามารถดูรายงานการทวนสอบได้ที่รายงาน Assurance Statement

  • ตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond)

    ในปี 2565 บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มูลค่า 8,349 ล้านบาท ภายใต้กรอบตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond Framework) ที่ได้ผ่านการสอบทานโดย Det Norske Veritas: DNV ในฐานะผู้สอบทานอิสระ (Independent External Reviewer) ซึ่งเป็นองค์กรรับรองมาตรฐานชั้นนำของโลก ที่ให้การรับรองตามมาตรฐาน Green Bond Principles 2021 และ ASEAN Green Bond Standards 2018

    โดยการออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนี้ยังได้รับรางวัล Best Green Bond Hydropower Plant Framework จาก International Finance Award ซึ่งจัดโดย International Finance Magazine นิตยสารทางธุรกิจและการเงินชั้นนำจากลอนดอน สหราชอาณาจักร ที่แสดงถึงการจำหน่ายหุ้นกู้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำของบริษัทฯ ที่เป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล และ รางวัล Most Sustainable Hydro Power Company จาก The Global Economics Awards ในกลุ่ม The Utility & Energy Award Winners โดย The Global Economics เป็นนิตยสารการเงินชั้นนำของสหราชอาณาจักร ซึ่งสะท้อนถึงการดำเนินงานอย่างยั่งยืนในมิติโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ

  • กลไกราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing: ICP)

    บริษัทได้ศึกษาการประยุกต์ใช้กลไกการกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing: ICP) เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับกฎระเบียบของภาครัฐ และวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนส่วนเพิ่มของการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อกำหนดแผนและกลยุทธ์ในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกขององค์กร

โครงการที่ดำเนินการเพื่อลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี 2566

บริษัทมีการจัดทำโครงการลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึง 9 โครงการ ซึ่งเกิดจากการสังเกตและคิดค้นแนวทางใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหา และสามารถสร้างคุณประโยชน์ได้ โดยมุ่งเน้นการลดการสูญเสียพลังงานโดยรวมของโรงไฟฟ้า และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งสร้างจิตสำนึกให้กับพนักงานด้านการลดการใช้พลังงานและคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ทั้งในกระบวนการผลิตและตามมาตรฐานการจัดการพลังงาน ISO 50001: 2018 ด้วยการปรับปรุงระบบการทำงานโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในบริษัททั้งทรัพยากรบุคคล รวมถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ จึงทำให้โครงการอนุรักษ์พลังงานของบริษัทไม่ก่อให้เกิดการใช้งบประมาณเพิ่มเติมแต่อย่างใด

ภาพรวมผลการดำเนินโครงการอนุรักษ์พลังงานในปี 2566

ผลการดำเนินงาน
ชื่อโครงการ ชนิดของพลังงานที่ลด ลดการใช้พลังงานลง (เมกะวัตต์-ชั่วโมง) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) ลดต้นทุนด้านพลังงาน (บาทต่อปี)
1.โครงการประหยัดพลังงานภายในสำนักงาน ไฟฟ้า 15 7.47 119,520
2.โครงการใช้รถยนต์ Plug-In Hybrid Electric Vehicle ทดแทนรถยนต์สันดาปภายนใน (Internal Combustion Engine) เชื้อเพลิง 58 15.45 190,643
3.โครงการลดความดันของก๊าซเชื้อเพลิง (Lower Gas Pressure Better Heat Rate) เชื้อเพลิง 688 317.91 2,561,520
4.โครงการเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้ากังหันไอน้ำ ระยะที่ 2 เชื้อเพลิง 1,422 657.21 5,295,432
5.โครงการหยุดพัดลมระบายความร้อนหอหล่อเย็นในช่วงเวลา 00:00-06:00 น. เชื้อเพลิง 94 43.52 350,648
6.โครงการ Cooling Tower Optimization เชื้อเพลิง 86 39.75 320,317
7.โครงการปรับปรุงระบบทำความสะอาดระบบอัดอากาศของกังหันก๊าซแบบออนไลน์ เชื้อเพลิง 1,839 847.37 6,827,649
8.โครงการลดการใช้พลังงานในเครื่องอัดก๊าซธรรมชาติ ช่วง OFFPEAK เชื้อเพลิง 261 120.53 971,128
9.โครงการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เชื้อเพลิง 638 1.75 2,333,664

โครงการที่โดดเด่นที่ได้ดำเนินงานในปี 2566

โครงการประหยัดพลังงานภายในสำนักงาน

บริษัทเล็งเห็นถึงความสำคัญในการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้พนักงานทุกคนได้ตระหนักและมีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าว โดยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในสำนักงานน ส่งผลให้ลดค่าใช้จ่าย ลดภาวะโลกร้อน รวมทั้งยังเป็นการปลูกฝัง จิตสำนึกในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและรู้คุณค่า โดยโครงการ ประหยัดพลังงานภายในสำนักงานมีการประชาสัมพันธ์โครงการให้กับพนักงาน ทุกท่าน และมีส่วนร่วมกับโครงการตามหลัก 4 ป. (ปิด ปรับ เปลี่ยน ปลด) ผ่านทางระบบ Intranet ของบริษัท การทำสติ๊กเกอร์ติดตามจุดที่มีการใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้สามารถลดการใช้ทรัพยากรไฟฟ้าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาคิดเป็นจำนวน 15 เมกะวัตต์-ชั่วโมง หรือคิดเป็นร้อยละ 6.79 และสามารถช่วยประหยัด ค่าใช้จ่ายได้ 119,520 บาท หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อคนลดลงจากปีที่ผ่านมาคิด เป็นนจำนวนคนละ 0.15 เมกะวัตต์-ชั่วโมง และสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย 1,200 บาทต่อคน

บริษัทมีจุดมุ่งหมายในการลดการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่สังคม คาร์บอนต่ำและบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) ได้ภายในปี 2593 โดยทางสายงานบริหารได้วางเป้าหมายการลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง โดยจะดำเนินการเปลี่ยนรถยนต์ในโรงไฟฟ้า รวมไปถึงรถยนต์ส่วนกลาง ทั้งหมด ให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดการปล่อยของเสียจนทำให้มีผลกระทบ ต่อมลพิษทางอากาศ ภายในปี 2573 โดยเริ่มดำเนินการเปลี่ยนรถยนต์ ตั้งแต่ปี 2022 และยังคงดำเนินการเรื่อยมา จากเดิมจำนวนรถยนต์ที่ใช้ เชื้อเพลิงในการสันดาปมีจำนวนทั้งสิ้น 34 คัน โดยได้ดำเนินการเปลี่ยนเป็น รถยนต์ประเภท plug-in hybrid แล้วทั้งสิ้นจำนวน 7 คัน

โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น ได้พัฒนาระบบการผลิตไฟฟ้าให้มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยการปรับลดแรงดันของเชื้อเพลิงเพื่อให้มีแรงดัน ที่เหมาะสมกับความต้องการของเครื่องจักร ทำให้เกิดการลดการใช้พลังงาน ของเครื่องอัดอากาศในการผลิตไฟฟ้า

โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น ได้ปรับปรุงขีดจำกัดของกำลังการผลิต สูงสุดของเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้ากังหันไอน้ำ (Steam Turbine) เพื่อสามารถ นำพลังงานไอน้ำที่เหลือทิ้งจาก Heat Recovery Steam Generators (HRSG) ไปผลิตไฟฟ้าในช่วงที่ลูกค้าไอน้ำมีความต้องการต่ำ

ในช่วง OFFPEAK เวลากลางคืน ที่โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น มีกำลังการผลิตต่ำทำให้ภาระทางความต้องของโรงไฟฟ้าน้อยกว่าความสามารถ ในการระบายความร้อนของหอหล่อเย็น ประกอบกับช่วงเวลากลางคืน อุณหภูมิ ต่ำ ทำให้หอหล่อเย็นสามารถระบายความร้อนได้ดี Operation Team จึง หยุดการทำงานของพัดลมของหอหล่อเย็นแต่ยังคงให้หอหล่อเย็นทำงานอยู่ เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าของพัดลดดูดอากาศเข้าหอหล่อเย็นโดยเฝ้าระวังอุณหภูมิ ของน้ำหล่อเย็นไม่ให้สูงเกินค่าควบคุม

โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น ได้ปรับปรุงระบบหล่อเย็นของโรงไฟฟ้า ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยดำเนินการวิเคราะห์ความสามารถในการระบาย ความร้อนตามช่วงเวลาระหว่างวัน เพื่อบริหารและปรับค่าการทำงาน ของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในโรงไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราการใช้ พลังงานสำหรับอุปกรณ์ในระบบหล่อเย็นลดลง

โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการผลิตไฟฟ้าจาก กังหันก๊าซ (Gas Turbine) โดยมีกระบวนการอัดอากาศก่อนเข้าสู่ห้องเผาไหม้ เพื่อรักษาประสิทธิภาพของการอัดอากาศให้ดีอยู่เสมอ จะมีระบบ "Online Water Wash" เพื่อทำความสะอาดระบบการอัดอากาศโดยไม่ต้องหยุด การผลิต แต่ยังคงจำเป็นต้องลดกำลังการผลิตเพื่อทำความสะอาด ทีมงาน จึงได้ปรับปรุงความถี่ในการทำความสะอาดให้เหมาะสมเพื่อลดความสูญเสีย จะการลดกำลังการผลิตในช่วงทำความสะอาด

ฝ่ายวิศวกรรมของโรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น พบปัญหาการสูญเสียพลังงานจากการทำงานของเครื่องอัดก๊าซธรรมชาติในช่วง OFFPEAK ที่เกิดขึ้นเมื่อแรงดันที่ออกจากเครื่องอัดมากเกินความจำเป็นและทำให้ระบบวาล์วส่งก๊าซกลับเข้าลูกสูบทำงานโดยฝ่ายวิศวกรรมของโรงไฟฟ้าได้ศึกษาและปรับปรุงระบบวาล์วก๊าซเข้าลูกสูบเพื่อลดแรงดันของก๊าซหลังออกจากลูกสูบส่งผลให้ ระบบวาล์วส่งก๊าซกลับไม่ถูกเปิดออก

เปลี่ยนผ่านการใช้พลังงาน โดยเปลี่ยนจากรถยนต์ดีเซล เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ในปี 2566 ได้ดำเนินการเปลี่ยน รถยนต์ส่วนกลาง จำนวน 1 คัน สำหรับรับ-ส่ง พนักงานภายในโรงไฟฟ้า และรถไฟฟ้าสามล้อ จำนวน 2 คัน สำหรับงานแม่บ้าน

โครงการและกลยุทธ์ของ CKPower แสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างจริงจังในการจัดการพลังงานและการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน โดยมีการดำเนินการต่างๆ เช่น การเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน, การพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน, และการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเสริมสร้างการดำเนินงานที่ยั่งยืนในทุกๆ ด้าน มุ่งมั่นสู่การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนที่แท้จริง